การพิจารณาใช้สารเคมี |
1. พิจารณาหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีให้น้อยที่สุดก่อนเป็นลำดับแรก |
|
|
2. ใช้สารเคมีปราบวัชพืชได้เมื่อโคนต้นยางมีส่วนที่เป็นสีน้ำตาล สูงกว่า 75 เซนติเมตรจากพื้นดิน |
|
|
3. แนวยางต้องปราบวัชพืชเป็นแนวกว้างประมาณ 2 เมตร |
|
|
4. พิจารณาเลือกใช้สารเคมีให้เหมาะสมกับชนิดวัชพืชและอายุต้นยางพารา และไม่อยู่ในบัญชีต้องห้าม
ของ FSC |
|
|
5. สารเคมีที่แนะนำให้ใช้ในการกำจัดวัชพืชมีอยู่ 2 ประเภท คือ สารเคมีกำจัดวัชพืชทั่วไปในสวนยาง
(ยกเว้นหญ้าคา) และสารเคมีกำจัดหญ้าคาในสวนยาง |
|
|
ความปลอดภัยในการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช |
1. อ่านฉลากก่อนใช้สารเคมี |
|
|
2. แต่งกายให้มิดชิดและรัดกุม |
|
|
3. ภาชนะบรรจุยาเมื่อใช้แล้วควรนำไปทิ้งเป็นขยะอันตรายและสารเคมี และนำไปกำจัดให้ถูกต้องต่อไป |
|
|
4. ขณะพ่นยาต้องอยู่เหนือลมเสมอ |
|
|
5. ทำความสะอาดถังพ่นยาและอุปกรณ์ทุกครั้งหลังการใช้งาน (ห้ามล้างในแม่น้ำ ลำคลอง) |
|
|
6. ห้ามสูบบุหรี่ รับประทานอาหารขณะพ่นสารเคมี |
|
|
7. อาบน้ำชำระร่างกายและซักเสื้อผ้าหลังการพ่นสารเคมีทุกครั้ง |
|
|
8. ระวังอย่าให้สารเคมีเข้าปาก ตา จมูก หรือถูกผิวหนังและเสื้อผ้า |
|
|
การกำจัดภาชนะบรรจุสารเคมีหรือน้ำมันต่าง ๆ |
1. ภาชนะบรรจุสารกำจัดวัชพืช เช่น ขวด กล่องถุงพลาสติกล้างภาชนะดังกล่าวทันทีด้วยน้ำสะอาด
ประมาณ 3 ครั้ง |
|
|
2. ห้ามนำภาชนะบรรจุที่ใช้หมดแล้วไปเผาไฟ |
|
|
3. ไม่ควรใช้วิธีฝังดิน แต่ให้เก็บรวบรวม แยกประเภทของภาชนะและรวบรวมนำมากำจัดรวมกันของกลุ่ม
หรือขายให้บริษัทรับซื้อกำจัดสารเคมีและภาชนะบรรจุสารเคมี |
|
|
การเก็บรักษาสารเคมี |
1. ควรเก็บสารกำจัดวัชพืชไว้ในห้องหรือที่เก็บโดยเฉพาะ มีกุญแจ มีการถ่ายเทอากาศดี ไม่ควรให้แดด
ส่องถึง |
|
|
2. ควรเก็บสารเคมีทุกชนิดให้ห่างจากเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหารและภาชนะบรรจุอาหาร |
|
|
3. สถานที่เก็บควรเป็นพื้นคอนกรีต สามารถทำความสะอาดได้ง่าย |
|
|
4. ภาชนะที่บรรจุสารเคมีควรมีความแข็งแรงทนต่อแรงกระแทกจากภายนอก |
|
|
5. ชั้นวางสารเคมีต้องมีความแข็งแรง มั่นคง |
|
|
6. สำหรับตำแหน่งที่จัดเก็บสารเคมี ไม่ควรวางกับพื้น |
|
|
7. ต้องมีระบบการจัดเก็บสารเคมีที่มีระเบียบ บริเวณที่จัดเก็บต้องสะอาดอยู่เสมอ |
|
|
ข้อควรปฏิบัติในการพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืช |
1. ผู้ปฏิบัติสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ผ้าปิดจมูก แว่นตา ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมถุงมือยาง
และรองเท้าบูธ ทุกครั้ง |
|
|
2. ใช้ชนิดและปริมาณของสารกำจัดวัชพืชที่ถูกต้อง |
|
|
3. ต้องทราบวิธีการใช้เครื่องพ่น และวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง |
|
|
4. เลือกช่วงจังหวะการพ่นให้เหมาะสม เช่น พ่นลมเมื่อลมสงบ หรืออยู่เหนือลมขณะพ่นยา |
|
|
5. ให้ละอองสารกำจัดวัชพืชกระจายคลุมเป้าหมายอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ |
|
|
6. หลีกเลี่ยงการพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชในขณะที่มีลมแรง กรณีที่มีลมแรงปานกลางสามารถทำการพ่น
สารกำจัดวัชพืชได้ โดยผู้พ่นจะต้องอยู่เหนือลม |
|
|
7. ควรใช้หัวพ่นชนิดละอองหยาบและอัดลมไม่แรงเกินไป |
|
|
8. การใช้เครื่องพ่นสารกำจัดวัชพืชไม่ว่าจะใช้ในแปลงปลูกพืชขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็กก็ตาม เมื่อเสร็จ
สิ้น การใช้งานต้องทำความสะอาดเครื่องพ่นเสมอ |
|
|
9. การห้ามใช้สารเคมีทางการเกษตรตามประกาศ พรบ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ที่ห้ามใช้ในประเทศไทย
และสารเคมีที่ FSC ห้ามใช้ตามข้อกำหนด |
|
|
10. ล้างเครื่องพ่นยาทุกครั้งหลังจากเสร็จกิจกรรมนั้น เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง คว่ำภาชนะพ่นยาให้
แห้ง และเก็บเข้าที่ให้เป็นระเบียบ |
|
|
10. หลังพ่นยา หรือหลังจากการใช้สารเคมี ต้องชำระล้างร่างกายทำความสะอาดด้วยสบู่ทุกครั้ง |
|
|
การกำจัดขยะในแปลงปลูก |
1. ขยะทั่วไปหรือขยะอื่น ๆ ที่สามารถย่อยสลายได้ให้เกษตรกรดำเนินการฝังกลบในพื้นที่แปลงยางพารา
หรือจุดที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ฝังกลบ |
|
|
2. ขยะทั่วไปที่แปลงยางพาราอยู่ในพื้นที่เขตเทศบาล หรือตำบล ให้ดำเนินการส่งกำจัดตามพื้นที่เทศบาล
หรืออบต. ที่กำหนดไว |
|
|
การทำลายภาชนะสารเคมี |
1. ภาชนะทำลาย มีการรวบรวมขยะภาชนะสารเคมีมาจากบ้านของสมาชิกกลุ่มบรรจุใส่ถุงดำ มัดปากถุง
ให้เรียบร้อย แล้วนำมารวมที่กลุ่มเกษตรกร หลังจากงนั้นกลุ่มเกษตรกรทำการรวบรวมขยะภาชนะ
สารเคมีของสมาชิกและนำส่งเจ้าหน้าที่สุขาภิบาล ประจำตำบล |
|
|
การป้องกันโรคและแมลง |
1. กำจัดวัชพืช ตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้โล่งเตียนและอย่าปลูกยางให้หนาแน่นเกินไป เพื่อให้อากาศถ่ายเท
ได้สะดวก และความชื้นในสวนยางพารา |
|
|
2. เมื่อแหล่งปลูกยางที่เป็นเขตระบาดของโรค ไม่เลือกปลูกยางพันธุ์ที่อ่อน |
|
|
3. ต้นยางใหญ่ที่เป็นโรครุนแรงจนใบร่วงหมด ควรหยุดกรีดและใส่ปุ๋ยบำรุงต้นยางให้สมบูรณ์ |
|
|
4. ต้นยางเล็กที่เริ่มแสดงอาการตายจากยอด ให้ตัดยอดต่ำกว่ารอยแผลประมาณ 5 เซนติเมตร |
|
|
5. หากในแปลงขยายพันธุ์ยางเกิดการระบาดของโรค ควรแยกต้นยางชำถุงที่เป็นโรคออกจากแปลง และ
ฉีดพ่นสารเคมีเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค |
|
|
6. ในฤดูฝน ควรทาสารเคมีป้องกันกำจัดโรคที่หน้ากรีด และหลีกเลี่ยงการกรีดยางขณะต้นเปียกในช่วงที่
มีโรคใบร่วงและฝักเน่าระบาด |
|
|
7. หากต้นยางเป็นโรคเปลือกเน่า ให้ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราทาหน้ากรีดยาง โดยขูดเอาส่วนที่เป็น
โรคออกแล้วทาสารเคมีจนกว่าหน้ากรีดยางจะแห้งเป็นปกติ |
|
|
8. มีการใส่ปุ๋ยเคมีในช่วงปลายฤดูฝนตามคำแนะนำเพื่อให้ใบที่ผลิตออกมาใหม่สมบูรณ์และแก่เร็ว พ้น
ระยะอ่อนแอต่อการเข้าทำลายของเชื้อ |
|
|
9. หากเกิดการระบาดรุนแรง ต้นยางที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรติดตาเปลี่ยนเป็นพันธุ์ใหม่ที่ต้านทานโรค |
|
|
10. มีการบริหารจัดการการระบายน้ำในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี |
|
|
11. มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพื่อช่วยปรับโครงสร้างและแร่ธาตุอาหารของดิน |
|
|
12. มีการใช้สารเคมีฉีดพ่น เพื่อควบคุมการระบาดของโรคในแปลงขยายพันธุ์ หรือหากเกิดโรครุนแรงใน
แปลงปลูกที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี |
|
|