การสำรวจพื้นที่ |
1. คัดเลือกบริเวณพื้นที่สวนป่ายางพาราที่มีความลาดชันสูงเพื่อวางจุดตรวจวัด จำนวน 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ
บริเวณพื้นที่อนุรักษ์ในเขตสวนป่ายางพารา และบริเวณแปลงปลูกสวนป่ายางพารา หรือบริเวณที่มีการดำเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ |
|
|
2. วางแปลงตรวจวัดการพังทลายของดินและการชะล้างของหน้าดิน โดยนำแท่งเหล็กยาวประมาณ 1.10 เมตร
ไปปักเป็นแนวตามความลาดชันของพื้นที่ จำนวน 3 จุด และให้แต่ละจุดมีระยะห่างกัน ประมาณ 50 เมตร และ
ฝังแท่งเหล็กลึกลงไปในพื้นดินประมาณ 30 ซม. แล้วใช้สีน้ำมันทาระดับที่ผิวดินได้ |
|
|
3. ตรวจเช็คและวัดระยะความสูงจากปลายแท่งเหล็กด้านบนถึงระดับหน้าดินของแท่งเหล็กแต่ละอัน แล้วนำไป
บันทึกในแบบฟอร์ม โดยตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงทุก ๆ เดือน ตามแผนการตรวจติดตาม (Monitoring
Plan) |
|
|
4. นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาตรวจสอบเปรียบเทียบการกัดเซาะหน้าดินและการพังทลายของดิน จากนั้นนำผลการ
วิเคราะห์มาปรับปรุงแก้ไขแผนการปฏิบัติงานของสวนยางพาราให้มีความยั่งยืนต่อไป |
|
|
การทำพื้นที่กันชน/การตรวจสอบพื้นที่ตาม |
1. การดำเนินสำรวจพื้นที่ Buffer Zone และจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่ง Buffer Zone ทุกครั้งที่รับสมัคร
สมาชิกสวนป่าเข้าร่วมโครงการฯ กรณีที่มี Buffer Zone การตรวจติดตามควรมีการตรวจสอบ Buffer Zone
อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง |
|
|
การป้องกันการพังทลายของดิน |
1. วิธีการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โดยวิธีกล |
|
1.1 การปลูกพืชตามแนวระดับ |
|
|
1.2 การสร้างคันดินกั้นน้ำ |
|
|
1.3 การปรับพื้นที่เฉพาะหลุม |
|
|
2. วิธีการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โดยวิธีเกษตรกรรม |
|
2.1 การปลูกพืชคลุมดิน |
|
|
2.2 การปลูกพืชหมุนเวียน |
|
|
2.3 การปลูกพืชแซม |
|
|
การจัดการพื้นที่ที่เกิดการกัดเซาะพังทลายของหน้าดิน |
1. ทำการสำรวจสภาพความเสียหายของพื้นที่ (Restoration Zone) |
|
|
2. ทำการฝึกอบรมให้ความรู้แก่สมาชิก |
|
|
3. ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพัฒนาที่ดิน เพื่อขอความช่วยเหลือ หรือคำแนะนำ
ในการดูแล ปรับปรุงแก้ไข |
|
|
4. ติดตาม ตรวจสอบผลการปรับปรุงแก้ไข |
|
|
5. บันทึกผล |
|
|
6. พื้นที่เกิดผลกระทบดังกล่าว เช่น การพังทลายของหน้าดิน ให้จัดเป็น Restoration Zone |
|
|
การจัดการพื้นที่ที่มีถนนหรือสร้างถนนภายในแปลง |
1. สมาชิกต้องไม่สร้างถนนภายในแปลงทับบริเวณที่เป็นเส้นน้ำไหล หรือทับร่องน้ำ |
|
|
2. กรณีที่เป็นเส้นทางเดินหรือถนนเก่า และถูกกระแสน้ำกัดเซาะ สมาชิกต้องหาดินมาถมเพื่อให้กลับคืนสู่สภาพ
เดิม |
|
|
3. ปล่อยให้เป็นเส้นทางน้ำไหล หากพิจารณาแล้วไม่คุ้มกับการปรับปรุงให้คืนสู่สภาพเดิม และสำรวจแนวถนน
ใหม่ที่ไม่ทับเส้นทางน้ำไหล |
|
|
4. ต้องทำการฝึกอบรมให้ความรู้ หรือให้คำแนะนำแก่สมาชิกในกรณีที่พื้นที่มีลักษณะดังกล่าว |
|
|
5. ตรวจติดตามอย่างน้อยปีละครั้ง และให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษในฤดูฝน |
|
|
6. บันทึกข้อมูลและผลการตรวจติดตามและการเฝ้าระวังไว้เป็นหลักฐาน |
|
|
พื้นที่ติดแหล่งน้ำลำธาร |
1. ตรวจสอบแนวเขตที่แสดงจุดสิ้นสุดของพื้นที่สวนยางโดยเว้นระยะห่างจากแหล่งน้ำตามขนาดของแหล่งน้ำ |
|
|
2. กรณีที่เกษตรกรหรือสมาชิกปลูกต้นยางจนชิดริมตลิ่งไปก่อนแล้ว ให้ส่งเสริมให้ปลูกไม้อื่นลงไปเพื่อช่วยยึดดิน
ไว้มิให้พังทลาย และให้สามารถกรีดน้ำยางได้ตามปกติ แต่จะกันพื้นที่ส่วนนั้นไว้เป็น Buffer Zone หรือพื้นที่ที่
ต้องดูแลเป็นพิเศษการตัดฟันให้ปฏิบัติตาม วิธีการตัดฟันในพื้นที่ที่ติดแหล่งน้ำลำธาร |
|
|
3. ทำการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการจัดการสวนยางพาราในพื้นที่ติดแหล่งน้ำลำธาร |
|
|
การเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม |
1. ทำการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพังทลายของดิน การใช้สารเคมีที่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำ
และสัตว์ การปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำ อย่างน้อยปีละครั้ง |
|
|
2. ทำการสุ่มตรวจคุณภาพของน้ำในกรณีที่เป็นแหล่งน้ำสาธารณะอย่างน้อยปีละครั้ง ในกรณีที่เป็นแหล่งน้ำ
สาธารณะอย่างน้อยปีละครั้ง ในกรณีที่พื้นที่นั้นใช้สารเคมีมากกว่า 2 ครั้ง/เดือน |
|
|
3. บันทึกผลการตรวจติดตามไว้ทุกครั้งและนำผลการตรวจติดตามและแก้ไขนั้นไปปรับปรุงในแผนการจัดการ |
|
|
การปกป้องแหล่งน้ำ |
1. ไม่ทิ้งของเสียลงสู่แหล่งน้ำ และทางระบายน้ำสาธารณะ |
|
|
2. บำบัดน้ำเสียขั้นต้น ก่อนระบายลงแหล่งน้ำหรือท่อระบายน้ำ |
|
|
3. ช่วยกันลดปริมาณการใช้น้ำ และลดปริมาณขยะในบ้านเรือน |
|
|
4. ลดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช ในกิจกรรมทางการเกษตร หรือสารเคมีที่ใช้ใน
บ้านเรือน |
|
|
5. ควรนำน้ำเสียกลับมาใช้ประโยชน์ |
|
|
6. สำรวจเพื่อลดปริมาณน้ำเสียของแต่ละขั้นตอนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม |
|
|
7. สร้างจิตสำนึกของประชาชนในตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาคุณภาพแหล่งน้ำ และประหยัดการใช้น้ำ
เท่าที่จำเป็น |
|
|