แบบฟอร์ม FSC6-4

การสำรวจพื้นที่และการตรวจสอบพื้นที่
หัวข้อ/ประเด็น ความคิดเห็น
ปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติ
การสำรวจพื้นที่
1. คัดเลือกบริเวณพื้นที่สวนป่ายางพาราที่มีความลาดชันสูงเพื่อวางจุดตรวจวัด จำนวน 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ
บริเวณพื้นที่อนุรักษ์ในเขตสวนป่ายางพารา และบริเวณแปลงปลูกสวนป่ายางพารา หรือบริเวณที่มีการดำเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ
2. วางแปลงตรวจวัดการพังทลายของดินและการชะล้างของหน้าดิน โดยนำแท่งเหล็กยาวประมาณ 1.10 เมตร
ไปปักเป็นแนวตามความลาดชันของพื้นที่ จำนวน 3 จุด และให้แต่ละจุดมีระยะห่างกัน ประมาณ 50 เมตร และ
ฝังแท่งเหล็กลึกลงไปในพื้นดินประมาณ 30 ซม. แล้วใช้สีน้ำมันทาระดับที่ผิวดินได้
3. ตรวจเช็คและวัดระยะความสูงจากปลายแท่งเหล็กด้านบนถึงระดับหน้าดินของแท่งเหล็กแต่ละอัน แล้วนำไป
บันทึกในแบบฟอร์ม โดยตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงทุก ๆ เดือน ตามแผนการตรวจติดตาม (Monitoring
Plan)
4. นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาตรวจสอบเปรียบเทียบการกัดเซาะหน้าดินและการพังทลายของดิน จากนั้นนำผลการ
วิเคราะห์มาปรับปรุงแก้ไขแผนการปฏิบัติงานของสวนยางพาราให้มีความยั่งยืนต่อไป
การทำพื้นที่กันชน/การตรวจสอบพื้นที่ตาม
1. การดำเนินสำรวจพื้นที่ Buffer Zone และจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่ง Buffer Zone ทุกครั้งที่รับสมัคร
สมาชิกสวนป่าเข้าร่วมโครงการฯ กรณีที่มี Buffer Zone การตรวจติดตามควรมีการตรวจสอบ Buffer Zone
อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
การป้องกันการพังทลายของดิน
1. วิธีการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โดยวิธีกล
1.1 การปลูกพืชตามแนวระดับ
1.2 การสร้างคันดินกั้นน้ำ
1.3 การปรับพื้นที่เฉพาะหลุม
2. วิธีการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน โดยวิธีเกษตรกรรม
2.1 การปลูกพืชคลุมดิน
2.2 การปลูกพืชหมุนเวียน
2.3 การปลูกพืชแซม
การจัดการพื้นที่ที่เกิดการกัดเซาะพังทลายของหน้าดิน
1. ทำการสำรวจสภาพความเสียหายของพื้นที่ (Restoration Zone)
2. ทำการฝึกอบรมให้ความรู้แก่สมาชิก
3. ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพัฒนาที่ดิน เพื่อขอความช่วยเหลือ หรือคำแนะนำ
ในการดูแล ปรับปรุงแก้ไข
4. ติดตาม ตรวจสอบผลการปรับปรุงแก้ไข
5. บันทึกผล
6. พื้นที่เกิดผลกระทบดังกล่าว เช่น การพังทลายของหน้าดิน ให้จัดเป็น Restoration Zone
การจัดการพื้นที่ที่มีถนนหรือสร้างถนนภายในแปลง
1. สมาชิกต้องไม่สร้างถนนภายในแปลงทับบริเวณที่เป็นเส้นน้ำไหล หรือทับร่องน้ำ
2. กรณีที่เป็นเส้นทางเดินหรือถนนเก่า และถูกกระแสน้ำกัดเซาะ สมาชิกต้องหาดินมาถมเพื่อให้กลับคืนสู่สภาพ
เดิม
3. ปล่อยให้เป็นเส้นทางน้ำไหล หากพิจารณาแล้วไม่คุ้มกับการปรับปรุงให้คืนสู่สภาพเดิม และสำรวจแนวถนน
ใหม่ที่ไม่ทับเส้นทางน้ำไหล
4. ต้องทำการฝึกอบรมให้ความรู้ หรือให้คำแนะนำแก่สมาชิกในกรณีที่พื้นที่มีลักษณะดังกล่าว
5. ตรวจติดตามอย่างน้อยปีละครั้ง และให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษในฤดูฝน
6. บันทึกข้อมูลและผลการตรวจติดตามและการเฝ้าระวังไว้เป็นหลักฐาน
พื้นที่ติดแหล่งน้ำลำธาร
1. ตรวจสอบแนวเขตที่แสดงจุดสิ้นสุดของพื้นที่สวนยางโดยเว้นระยะห่างจากแหล่งน้ำตามขนาดของแหล่งน้ำ
2. กรณีที่เกษตรกรหรือสมาชิกปลูกต้นยางจนชิดริมตลิ่งไปก่อนแล้ว ให้ส่งเสริมให้ปลูกไม้อื่นลงไปเพื่อช่วยยึดดิน
ไว้มิให้พังทลาย และให้สามารถกรีดน้ำยางได้ตามปกติ แต่จะกันพื้นที่ส่วนนั้นไว้เป็น Buffer Zone หรือพื้นที่ที่
ต้องดูแลเป็นพิเศษการตัดฟันให้ปฏิบัติตาม วิธีการตัดฟันในพื้นที่ที่ติดแหล่งน้ำลำธาร
3. ทำการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการจัดการสวนยางพาราในพื้นที่ติดแหล่งน้ำลำธาร
การเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
1. ทำการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพังทลายของดิน การใช้สารเคมีที่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำ
และสัตว์ การปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำ อย่างน้อยปีละครั้ง
2. ทำการสุ่มตรวจคุณภาพของน้ำในกรณีที่เป็นแหล่งน้ำสาธารณะอย่างน้อยปีละครั้ง ในกรณีที่เป็นแหล่งน้ำ
สาธารณะอย่างน้อยปีละครั้ง ในกรณีที่พื้นที่นั้นใช้สารเคมีมากกว่า 2 ครั้ง/เดือน
3. บันทึกผลการตรวจติดตามไว้ทุกครั้งและนำผลการตรวจติดตามและแก้ไขนั้นไปปรับปรุงในแผนการจัดการ
การปกป้องแหล่งน้ำ
1. ไม่ทิ้งของเสียลงสู่แหล่งน้ำ และทางระบายน้ำสาธารณะ
2. บำบัดน้ำเสียขั้นต้น ก่อนระบายลงแหล่งน้ำหรือท่อระบายน้ำ
3. ช่วยกันลดปริมาณการใช้น้ำ และลดปริมาณขยะในบ้านเรือน
4. ลดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช ในกิจกรรมทางการเกษตร หรือสารเคมีที่ใช้ใน
บ้านเรือน
5. ควรนำน้ำเสียกลับมาใช้ประโยชน์
6. สำรวจเพื่อลดปริมาณน้ำเสียของแต่ละขั้นตอนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
7. สร้างจิตสำนึกของประชาชนในตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาคุณภาพแหล่งน้ำ และประหยัดการใช้น้ำ
เท่าที่จำเป็น